หนึ่งในข่าวที่ทำให้ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในและนอกประเทศญี่ปุ่นสนใจมากที่สุด คือ วีซ่าประเภทใหม่ “ วีซ่าที่มีทักษะพิเศษ ” (特定技能ビザ) ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติมากกว่า 340,000 เข้ามาอาศัยและทำงานในญี่ปุ่น งานญี่ปุ่น อย่างถูกกฎหมายถึง 5 ปี

นอกจากนี้วีซ่าประเภทนี้ยังครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลายและไม่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับคุณสมบัติและประสบการณ์แบบวีซ่าทำงานปัจจุบัน ไม่ว่าคุณจะมีวุฒิการศึกษาระดับใด หากคุณผ่านการสอบที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการขอวีซ่าพิเศษและได้รับใบรับรองภาษาญี่ปุ่นในระดับเริ่มต้น คุณจะได้รับบัตรผ่านสำหรับการเข้ามาทำงานในประเทศญี่ปุ่น

เนื่องจากการเปิดรับคุณสมบัติที่กว้างมากขึ้นของวีซ่าประเภทนี้ ทำให้ในวันแรกที่มีการเปิดรับสมัครเข้าทดสอบของแต่ละอุตสาหกรรมมีจำนวนการลงทะเบียนของผู้เข้ารับการทดสอบเกินที่ตั้งไว้ ตัวอย่างเช่น จำนวนผู้สมัครที่กำหนดโดยรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับการสอบครั้งแรกของวีซ่าพิเศษในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร/ เครื่องดื่ม คือ 340 แต่เพียงแค่ในวันแรกของการเปิดรับสมัครเท่านั้นจำนวนผู้สมัครก็ได้เต็มเรียบร้อย

งานญี่ปุ่น.com

อันที่จริงแล้วความต้องการของผู้สมัครนั้นไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก แต่ว่าปัญหานี้มาจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทำให้สิ่งต่าง ๆ “ยากขึ้น” ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นเพื่อไปถึงขั้นตอนของการได้วีซ่านี้หรือไม่? หรือเป็นเพราะขาดการเตรียมพร้อมของทางผู้จัดงานสอบ? โปรดทำตามบทความด้านล่างสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ย้อนกลับไปยังการทดสอบครั้งแรก

ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2019 กระทรวงแรงงานญี่ปุ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีทดสอบสำหรับวีซ่าทักษะพิเศษใน 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ โรงแรม การผลิตอาหาร/ เครื่องดื่ม และพยาบาล การตรวจสอบสำหรับอุตสาหกรรมที่เหลือจะจัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 2019

การทดสอบสำหรับงานพยาบาล

จัดขึ้นในวันที่ 13 เมษายน 2019 ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการจัดการทดสอบสำหรับผู้สมัครวีซ่าทักษะพิเศษและยังเป็นครั้งแรกในต่างประเทศที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลญี่ปุ่นสำหรับผู้ที่ต้องการมาทำงานในประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมาย และมีผู้สมัครมาลงทะเบียนเต็มตั้งแต่วันแรก!

ผู้บริบาล หมายถึง ผู้ดูแลโดยรอบ เช่น ดูแลคนแก่ ผู้ป่วย เด็ก คนพิการ อาจรวมถึงครูพี่เลี้ยงเด็ก ที่สามารถดูแลได้ที่บ้านหรือในชุมชน

.. เรามีผู้สูงอายุมากขึ้น ผู้สูงอายุจะมีความเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น อ่อนแรง เป็นอัมพาต มีความพิการอย่างอื่น ท่านเหล่านี้ไม่ควรไปอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลแน่นเร่งรีบ และแพง ไม่เหมาะกับการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังซึ่งต้องการการบริบาลที่ดี

2….#ในประเทศญี่ปุ่น
การเรียนบริบาลในประเทศญี่ปุ่น มีหลายระดับ ขอกล่าวถึงระดับต้นฯจนถึงระดับที่ยากขึ้นไป

ระดับต้น เรียกกันว่า ヘルパー (เฮลุปา)
… ในระดับนี้ ใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่าเฮลเปอร์ ทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งจริงๆแล้ว การทำงานของเฮลเปอร์นี้ ส่วนใหญ่จะดูแลผู้สูงอายุตามบ้าน มีหน้าที่ช่วยในการทำงานบ้าน พาไปซื้อของ และดูแลในการอาบน้ำเพื่อความปลอดภัยจากการใช้ชีวิตในบ้านของผู้สูงอายุที่ต้องอยู่เพียงลำพัง
… หากทำงานในศูนย์หรือตามองค์กร ก็จะมีหน้าที่รับคำสั่งจากบริบาลอีกที ช่วยอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าปูที่นอน เป็นต้นฯ

เฮลเปอร์จะใช้เวลาอบรมประมาณ 3 เดือนถึง 6 เดือน ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่าการเรียนบริบาลมาก และไม่มีการสอบวัดระดับผลการเรียนใดๆ

ระดับกลาง 介護士 ไคโงะฉิ ( บริบาล )
มีหน้าที่ในการดูแลผู้สูงอายุโดยตรง ทั้งโภชนาการ – การป้อนอาหารสำหรับผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือแม้กระทั่งการป้อนยา – การขับถ่าย – การช่วยเหลือกรณีที่เดินไม่ได้หรือผู้ป่วยติดเตียง ฉะนั้น คนที่เรียนหลักสูตรนี้มา จะต้องทราบถึงวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การป้อนอาหารที่ถูกวิธี การเคลื่อนย้ายไม่ให้เกิดการบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายต่อกระดูกทุกส่วนในร่างกาย
– หลักสูตรการเรียนในประเทศญี่ปุ่น จะเริ่มต้นเรียนด้วยระยะเวลา 11 เดือน และฝึกงานอีก 3 เดือน ค่าใช้จ่ายในการเรียนปัจจุบัน ประมาณ 55000~65000บาท ได้ใบประกอบชีพบริบาลระดับ 2 ( มีการสอบวัดผลทางการเรียนก่อนจบ )

介護福祉士 ( ไคโงะฝุขุชีฉิ )
มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของไคโงะฉิ ผู้ที่จะเรียนหลักสูตรนี้ได้จะต้องผ่านการทำงานไคโงะฉิมากกว่า 3 ปีขึ้นไป
การเรียนระดับนี้ เป็นการเรียนที่ลึกซึ้งและเข้มข้น เพราะหลักสูตรการเรียนด้านกายวิภาคจะมีมากขึ้น รวมถึงการเรียนด้านโภชนาการอาหาร เรื่องโรคต่างๆ ที่มีเนื้อหาการเรียนมากกว่าไคโงะฉิ
หลักสูตรการเรียนจะมีระยะเวลา 2 และ 3 ปี และมีการสอบวัดระดับผลการเรียนอย่างต่อเนื่อง
ค่าเรียนประมาณปีละ 400000~500000บาทต่อปี

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความปลอดภัยและโภชนาการอาหาร ผู้จะทำงานด้านนี้จึงต้องผ่านการอบรมและมีใบประกอบชีพอย่างถูกต้องในปัจจุบัน

การทดสอบสำหรับอุตสาหกรรมที่พักและโรงแรม

จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2019 ในเมืองใหญ่ 7 เมืองของประเทศญี่ปุ่นอย่าง ซัปโปโร, เซนได, โตเกียว, นาโงย่า, โอซาก้า, ฮิโรชิม่า และฟุกุโอกะ การทดสอบวีซ่านี้สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานในโรงแรมและเรียวกัง ซึ่งได้รับใบสมัคร 761 ใบ แต่มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทดสอบ

การทดสอบสำหรับอุตสาหกรรมโรงงานอาหารและเครื่องดื่ม

จัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 และ 26 เมษายนปี 2019 ในโตเกียวและโอซาก้า มีการปิดรับสมัครอย่างรวดเร็วกว่าวันแรกของการเปิดรับสมัครในปลายเดือนมีนาคม แต่จะมีเพียง 340 คนเท่านั้นที่โชคดีพอที่จะได้ทำการสอบ และคาดว่าจะประกาศผลในปลายเดือนพฤษภาคม 2019 การสอบอีกครั้งจะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2019 ในสองเมืองของประเทศญี่ปุ่น คือ เซนไดและซัปโปโร

งานญี่ปุ่น.com

หลายคนอาจมองว่าการเดินทางมาทำงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องยาก…

 แต่ที่จริงแล้วถ้าหารู้จักการขอวีซ่าสำหรับทำงานอย่างถูกต้อง เหมาะสมกับความต้องการด้านแรงงานของญี่ปุ่นที่กำลังขาดแคลนหลายประเภท หรือที่เรียกกันว่า “วีซ่าทักษะเฉพาะทาง” ก็สามารถเปลี่ยนเรื่องยากให้กลายเป็นง่ายได้เช่นกัน

ดังนั้น บทความในวันนี้จึงอยากขอพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับวีซ่าทักษะเฉพาะทาง ที่รับรองว่าจะช่วยเปิดทางให้ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย พร้อมขั้นตอนอย่างละเอียดกัน

วีซ่าทักษะเฉพาะทางคือ อะไร!?

วีซ่าทักษะเฉพาะทาง คือ วีซ่าที่ได้ถูกออกแบบและถูกเพิ่มขึ้นในกฎหมายแรงงานสำหรับกรมตรวจคนเข้าเมืองในประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนเมษายน ปี 2019 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหาสภาวะการขาดแคลนแรงงานในประเทศญี่ปุ่น งานญี่ปุ่น

สำหรับแรงงานหรือลูกจ้างต่างชาติที่ถือวีซ่าประเภทนี้ จะมี “สิทธิ์เท่าเทียม” หรือ “มากกว่า” ผู้ที่ถือสัญชาติญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เงินเดือน หรือสวัสดิการ และอื่นๆอีกมากมาย

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ถือวีซ่าทักษะเฉพาะทาง

การมาทำงานในประเทศญี่ปุ่น วีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทางเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อให้การขอวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทางเป็นไปอย่างราบรื่น จึงอยากขออธิบายถึงสิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมสำหรับการขอวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง ดังต่อไปนี้

คุณสมบัติของผู้ที่ต้องการสมัครวีซ่าทักษะเฉพาะทาง(แยกประเภทอุตสาหกรรม)

สิ่งสำคัญอย่างที่สอง ที่ผู้ต้องการถือวีซ่าทักษะเฉพาะทางจะต้องมีคือ “คุณสมบัติของทักษะเฉพาะทาง” การยื่นวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง ผู้ขอจะต้องผ่านการฝึกงานด้านเทคนิคเฉพาะทางมาแล้วตามระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงมีผลประเมินผ่านการทดสอบด้านทักษะเฉพาะทางด้วย

การทดสอบเพื่อประเมินทักษะเฉพาะทาง จะถูกทดสอบขึ้นเพื่อวัดระดับความสามารถในการทำงานด้านการใช้เทคนิคเฉพาะทาง ตามแต่ละอาชีพหรือแรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงความสามารถในการใช้ภาษาญี่ปุ่นด้วย

สำหรับความยากง่ายของการทดสอบเพื่อประเมินทักษะเฉพาะทางนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของแรงงานอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมแรงงานประเภท “ทำความสะอาดอาคาร” และ “ธุรกิจร้านอาหาร” มีการประเมินที่ค่อนข้างง่าย

ขั้นตอนการยื่นขอวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง จนถึงการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น

กว่าจะได้มาซึ่งวีซ่าและสามารถบินเข้าประเทศญี่ปุ่น จนถึงเริ่มทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีขั้นตอนการเตรียมตัวมากมายสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งบทความชิ้นนี้จะขออธิบายรายละเอียดที่น่าสนใจเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ดังต่อไปนี้

1.ผ่านการสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น

2.ผ่านการทดสอบความสามารถทำงานเทคนิคเฉพาะทาง

3.ค้นหาบริษัทที่เปิดรับสมัครตำแหน่งที่ต้องการ และทำการสมัครงาน

4.ผ่านการตรวจสุขภาพสำหรับคอร์สตรวจสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ

5.สมัครยื่นขอวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง

6.รอรับใบรับรองการพำนักในประเทศญี่ปุ่น

7.นำใบรับรองการพำนักในญี่ปุ่นไปยื่นที่สถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยเพื่อยื่นขอวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง

8.รอรับวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง

9.หลังจากได้รับวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง สามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้เลย(ควรเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นหลังได้รับวีซ่าภายใน 3 เดือน)

การช่วยเหลือเรื่องการยื่นขอวีซ่าทักษะเฉพาะทาง

หากต้องการทำงานในประเทศญี่ปุ่นด้วยวีซ่าทักษะเฉพาะทางประเภทที่ 1 ควรทำตามขั้นตอนและเตรียมตัวตามที่ได้แนะนำกันไปแล้วในตอนต้น

แต่.. ถ้าหากต้องการผู้ช่วยให้คำปรึกษาและประสานงานเพื่อให้การขอวีซ่าทักษะพิเศษเฉพาะทาง ประเภทที่ 1 เป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น Japan Dream Job ได้ทำการรวบรวมข้อมูลข่าวสารมากมาย ที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่ต้องการเดินทางไปทำงาน ณ ประเทศญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น อาทิเช่น

1.คำแนะนำสำหรับการเตรียมตัวก่อนเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น

2.บริการรับ-ส่งสนามบินตั้งเมื่อเดินทางถึงและเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น

3.ดูแลและให้การช่วยเหลือเพื่อหาสถานที่อยู่อาศัย รวมถึงค้ำประกันการทำสัญญาเช่าที่พักในประเทศญี่ปุ่น

4.ดูแลและพาไปเปิดบัญชีธนาคาร รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ในประเทศญี่ปุ่น

5.การปฐมนิเทศเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น

6.ดูแลและสนับสนุนการเรียนภาษาญี่ปุ่น

7.ดูแลให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิตและทำงานในประเทศญี่ปุ่น (Advisor)

8.ให้ข้อมูลและสนับสนุนในด้านต่างๆ

9.จัดสัมมนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนญี่ปุ่นและไทย

10.รองรับและสนับสนุนการเปลี่ยนงานสำหรับชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศญี่ปุ่น

ขอบคุณข้อมูลจาก : The Japan Foundation Bangkok